BANGKOK – กลุ่มสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน เรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาไทยร่วมกับประชาคมโลกสนับสนุนประชาธิปไตยในเมียนมา มีนโยบายช่วยเหลือประชาชนเมียนมาอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ เพื่อนำเมียนมาไปสู่ประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐ แม้ว่าเผด็จการทหารของ มิน อ่อง หล่าย ล้มเหลวในการควบคุมประเทศ แต่กองกำลังฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยไม่สามารถขับไล่กองทัพออกจากการเมืองของเมียนมาได้เองโดยลำพัง กองกำลังที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องการความช่วยเหลือจากพันธมิตรในประชาคมโลก
29 พฤศจิกายน 2565 เวลา 13.30 น. ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กลุ่มสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (ASEAN Parliamentarians for Human Rights: APHR) โดยมี กษิต ภิรมย์ หนึ่งในคณะกรรมการของAPHR และ ชลิดา ทาเจริญศักดิ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศักยภาพชุมชน (People’s Empowerment Foundation :PEF) เป็นตัวแทนแถลงชี้แจงสถานการณ์การละเมิดสิทธิมมุษยชนที่เกิดขึ้นภายในเมียนมา พร้อมเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาและสื่อมวลชนไทยให้ความสนใจกับสถานการณ์ในเมียนมา ย้ำว่าหากประเทศเพื่อนบ้านของไทยอยู่ในภาวะวิกฤต ปัญหาเหล่านั้นอาจกระทบมาถึงไทยผ่านทางชายแดน เช่น การลักลอบค้าสัตว์ป่าและทรัพยากรธรรมชาติ การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติดและอาวุธเถื่อน
“ประเทศไทยควรให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้ตกถึงประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อยของเมียนมาอย่างแท้จริง โดยการเปิดชายแดนให้ชาวเมียนมาหลบหนีมาหาที่ปลอดภัย เปิดรับผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ และผู้ลี้ภัยทางการเมือง ให้เข้ามาอยู่ในไทยเป็นการชั่วคราว และให้ความคุ้มครองผู้ลี้ภัยทางการเมือง โดยไม่ผลักดันพวกเขากลับสู่ประเทศเมียนมาในขณะที่รัฐบาลทหารยังครองอำนาจ การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเหล่านี้ ไทยไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินมูลค่ามหาศาล เนื่องจากปัจจุบันมีสหประชาชาติและรัฐบาลต่างชาติให้ความช่วยเหลือด้านเม็ดเงินอยู่แล้ว นานาชาติเพียงต้องการให้ไทยเปิดทางแก่การส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมข้ามพรมแดนมากขึ้น” กษิต ภิรมย์ คณะกรรมการของ APHR และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของไทยกล่าว
ทั้งนี้ นับตั้งแต่กองทัพเมียนมาทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 สถานการณ์ในประเทศยังคงถดถอยอย่างต่อเนื่อง เผด็จการทหารนำโดย พล.อ. อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ทำสงครามกับประชาชนอย่างป่าเถื่อน และทำลายเศรษฐกิจของประเทศ โดยกองทัพได้สังหารประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 2,371 ราย และมีผู้พลัดถิ่นหลายแสนคน เผด็จการทหารยังจำคุกนักโทษการเมืองไม่ต่ำกว่า 15,000 คน และทำให้การทารุณกรรมผู้ถูกจับกุมเหล่านั้นกลายเป็นกิจวัตร ซ้ำยังเปิดฉากปราบปรามเสรีภาพการแสดงออกและการรวมกลุ่มอย่างกว้างขวาง รวมถึง การปราบปรามสื่ออิสระและประชาสังคมอย่างรุนแรง
แม้อาเซียนจะพยายามแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ในเมียนมา เช่น การออกฉันทามติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus) เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว รวมทั้งการแต่งตั้งทูตพิเศษเกี่ยวกับกิจการของเมียนมา ทว่าจากรายงานการสืบสวนสอบสวนของคณะกรรมการการไต่สวนของรัฐสภาระหว่างประเทศเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ในเมียนมา (International Parliamentary Inquiry: IPI) พบว่าการแก้ปัญหาวิกฤตเมียนมายังไม่มีความคืบหน้า จัดได้ว่าประสบความล้มเหลว และโดยเฉพาะความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของนานาชาติยังเข้าไม่ถึงคนตัวเล็กตัวน้อยในเมียนมา
“การช่วยเหลือยังจำกัดอยู่ในตัวเมืองบางเมืองที่อยู่ภายใต้อาณัติของฝ่ายทหาร การช่วยเหลือยังไม่ถึงมือประชาชนส่วนใหญ่ และมีจำนวนมากที่อพยพหนีตายมาอยู่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ปัญหาอีกประเด็นหนึ่งคือบทบาทหน้าที่ของทูตพิเศษมีความจำกัดและไม่ชัดเจน และเป็นตำแหน่งชั่วคราว และไม่มีความต่อเนื่องในการทำภารกิจ ในการนี้จึงเห็นว่าฝ่ายอาเซียนควรแต่งตั้งบุคลากรเข้าร่วมในงานของทูตพิเศษเพิ่มเติม รวมทั้งการจัดตั้งองค์กรที่จะรองรับงานและขยายบทบาทได้มากยิ่งขึ้น และมีสถานะเป็นงานประจำ
ในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทยนั้น ที่ผ่านมาเราเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลไทยยังคงเลือกยืนอยู่ข้างรัฐบาลทหารเมียนมา และเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของประชาชนเมียนมา นโยบายของรัฐบาลไทยยังไม่เปิดให้มีการรับเข้ามาของผู้ลี้ภัยใหม่ และยังไม่เคยติดต่อพูดคุยกับฝ่ายประชาธิปไตยที่ต่อต้านฝ่ายทหารเมียนมา” ชลิดา กล่าว
ในขณะเดียวกันก็มีข้อสังเกตว่า บทบาทสมาชิกรัฐสภาไทยในเรื่องเมียนมานี้ยังมีความจำกัดอยู่ สมควรที่จะมีการทบทวนท่าที และดำเนินการบทบาทในเชิงรุก เพื่อช่วยร่วมแก้ปัญหาวิกฤตเมียนมา สมาชิกรัฐสภาชุดปัจจุบันควรเรียกร้องให้รัฐบาลไทยมีบทบาทในเชิงสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาชายแดน และการนำสันติภาพและประชาธิปไตยกลับสู่เมียนมา นอกจากนั้นรัฐบาลไทยก็ควรเปิดโอกาสให้องค์กรภาคประชาสังคมได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัย รวมทั้งการให้สื่อได้เข้าไปตรวจสอบจัดหาข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อสาธารณชน
“เมื่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาเดือดร้อน และเราไม่เข้าไปช่วยแก้ปัญหา ไทยจะกลายเป็นประเทศที่ได้รับผลโดยตรง เพราะปัญหาจะเข้ามาถึงเราผ่านทางชายแดนไทย-เมียนมา เช่น ปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ และการลอบค้าทรัพยากรธรรมชาติ แร่ธาตุ สัตว์ป่า และอาวุธเถื่อน รวมถึงโรคระบาดที่ไม่ใช่แค่โควิด-19 ปัจจุบันสถานการณ์ด้านสาธารณสุขในเมียนมาอยู่ในขั้นวิกฤต เนื่องจากภาครัฐไม่อยู่ในสถานะที่จะดำเนินการช่วยเหลือดูแล เช่น การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนพลเมืองได้ เพราะการสู้รบที่กระจัดกระจายไปทั่ว และความไม่พร้อมของฝ่ายกองทัพเมียนมาที่กุมอำนาจรัฐอยู่” กษิตกล่าวปิดท้าย